ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลและข่าวสารล่าสุดเกี่ยวกับสถานการณ์ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในประเทศไทย พบว่า SMEs กำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างหนักในภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว โดยมีแรงกดดันสำคัญมาจากความขัดแย้งด้านการค้าระหว่างมหาอำนาจโลก และการเปลี่ยนแปลงในห่วงโซ่อุปทานซึ่งส่งผลกระทบรุนแรงต่อธุรกิจเหล่านี้
ภาวะเศรษฐกิจโลกและความท้าทายของ SMEs ไทย
ผู้ประกอบการ SMEs ไทยกำลังต้องเผชิญกับปัญหา “ภาวะถดถอย” ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ซึ่งไม่ใช่เพียงปัญหาของประเทศไทยเท่านั้น แต่เป็นสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง โดยสาเหตุหลักมาจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ซึ่งเป็นสองมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ รายงานชี้ว่า ความขัดแย้งนี้ทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทานโลก นักธุรกิจไทยต้องเร่งหาวัตถุดิบและชิ้นส่วนจากแหล่งอื่นเพื่อรักษาการผลิตสินค้าไว้ในระดับที่สามารถส่งออกไปตลาดสำคัญ เช่น สหรัฐฯ ได้
นอกจากนี้ ตลาดการแข่งขันราคาที่ดุเดือดยังกดดันให้ SMEs ต้องปรับตัวอย่างรวดเร็ว เช่นในอุตสาหกรรมรถยนต์ที่เคยมีราคาสินค้าคงที่สูง ในปัจจุบันราคาถูกกดลงอย่างรวดเร็วจนเหมือนกับสินค้าเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนผ่านไว ทำให้ธุรกิจที่ไม่สามารถปรับตัวได้จะได้รับผลกระทบอย่างหนัก
ความกังวลจากเรื่องค่าเงินบาทและต้นทุน
ความผันผวนของค่าเงินบาทในช่วงที่ผ่านมาได้สร้างความกังวลแก่ผู้ประกอบการและนักลงทุน เพราะเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นทำให้สินค้าไทยมีราคาสูงขึ้นในตลาดต่างประเทศ ความสามารถในการแข่งขันด้านราคาโดยรวมจึงถูกจำกัด ทั้งนี้ การแข่งขันไม่ได้ขึ้นอยู่เพียงการผลิตที่มีประสิทธิภาพหรือค่าใช้จ่ายที่ต่ำ แต่รวมถึงความสามารถในการแข่งขันด้านราคาในตลาดโลกด้วย
หนึ่งในปัญหาหลักของ SMEs ไทย คือการเข้าถึงเงินทุน เนื่องจากธนาคารส่วนใหญ่นิยมปล่อยกู้ให้กับธุรกิจที่มีความเสี่ยงต่ำและผลตอบแทนที่แน่นอน อย่างไรก็ดี รัฐบาลและธนาคารต่างปรับนโยบายเพื่อช่วยสนับสนุน SMEs โดยลดการพึ่งพาหลักประกัน และจัดตั้งกองทุนเฉพาะสนับสนุนผู้ประกอบการ
ในส่วนของมาตรฐานสินค้า รัฐบาลได้เร่งดำเนินการผลักดันให้ SMEs ปรับตัวเข้ากับมาตรฐานสากล เช่น การรับรองมาตรฐานอินทรีย์ ซึ่งเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับการเข้าแข่งขันในตลาดส่งออกใหญ่ ๆ อย่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป แต่ก็ยังมีความท้าทายเรื่องต้นทุนสูงในการรับรองมาตรฐานเหล่านี้ ทำให้ธุรกิจขนาดเล็กต้องเผชิญอุปสรรค
การส่งเสริมและโอกาสในการปรับตัว
รัฐบาลไทย รวมถึงหน่วยงานภาคเอกชน กำลังผลักดันให้ SMEs ปรับตัวรับกับแนวโน้มโลก ซึ่งรวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม การเพิ่มทักษะด้านดิจิทัลให้กับผู้ประกอบการ เพื่อสร้างความสามารถแข่งขันในตลาดโลก นอกจากนี้ยังมีมาตรการสนับสนุนจาก BOI ให้นักลงทุนขนาดใหญ่ที่เข้ามาลงทุนในประเทศหันมาใช้บริการห่วงโซ่อุปทานของ SMEs ไทย
ในอีกด้านหนึ่ง ผู้ประกอบการไทยต้องเพิ่มความสามารถในการบอกเล่าเรื่องราวของตนเองเพื่อปกป้องชื่อเสียงและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในตลาดโลก เนื่องจากข่าวลบหรือข่าวปลอมที่แพร่หลายผ่านโซเชียลมีเดีย สามารถสร้างผลกระทบลบต่อธุรกิจอย่างรวดเร็ว
ในสถานการณ์ที่ท้าทายนี้ ธุรกิจ SMEs ไทยต้องเผชิญกับแรงกดดันจากหลายด้านทั้งเศรษฐกิจโลก การเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทาน และการแข่งขันที่ดุเดือด การปรับตัวด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยี การเสริมสร้างมาตรฐานและทักษะ รวมถึงการเข้าถึงแหล่งเงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพ จะเป็นกุญแจสำคัญในการนำพา SMEs ไทยให้ก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้ และช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้อย่างยั่งยืนในอนาคต
ข้อมูลและความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญยืนยันว่า แม้ว่า SMEs จะเป็นกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบหนัก แต่ก็ยังเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีศักยภาพสูงในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในระยะยาว จำเป็นอย่างยิ่งที่ภาครัฐและเอกชนจะต้องร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโตและการแข่งขันอย่างสมดุลในเวทีโลก