สารจากยูเครน: เพื่อนำพาเด็ก ๆ ของเรา กลับบ้าน

(ผู้เขียน: ดร. ดมิโทร ไดเนียโก นักวิจัยปริญญาเอก สาขากฎหมายระหว่างประเทศ)

เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ. 2025 ชาวยูเครนร่วมเฉลิมฉลองวันประกาศเอกราชด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งความภาคภูมิใจในความเข้มแข็งและความทรหดของชาติ แต่ขณะเดียวกันก็แฝงไว้ด้วยความโศกเศร้าต่อทุกสิ่งที่สูญเสียไปตลอดระยะเวลาสามปีครึ่งแห่งการรุกรานเต็มรูปแบบของรัสเซีย ต้นทุนของสงครามครั้งนี้มิได้วัดเพียงซากของเมืองที่ถูกทำลายหรือครอบครัวที่ต้องพลัดพราก หากแต่ความต้นทุนความสูญเสียที่เจ็บปวดที่สุดที่เราต้องแลก คือชีวิตของเด็ก ๆ ของเรา

เด็ก ๆ ได้กลายเป็นเหยื่อที่เปราะบางที่สุดของการรุกราน มีเด็กนับพันคนถูกบังคับส่งตัวไปยังรัสเซียและดินแดนของยูเครนที่ถูกยึดครองชั่วคราว ถูกพรากจากภาษา วัฒนธรรม และแม้กระทั่งชื่อของตนเอง บทความนี้ว่าด้วยการต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของยูเครน แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือการต่อสู้เพื่อเด็ก ๆ ของเรา—และความพยายามของประชาคมระหว่างประเทศในการนำพวกเขากลับคืนบ้านเกิด

ภาพคอลลาจจากกระทรวงการต่างประเทศยูเครน ที่มา: กระทรวงการต่างประเทศยูเครน

ต้นทุนของสงครามต่อครอบครัว

ยูเครนมีพื้นที่กว่า 603,000 ตารางกิโลเมตร นับเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในทวีปยุโรป ก่อนเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2022 ยูเครนเป็นบ้านของประชากรกว่า 41 ล้านคน ทว่าในวันนี้ชาวยูเครนนับล้านต้องกลายเป็นผู้ลี้ภัย หรือต้องกลายเป็นผู้พลัดถิ่นอยู่ภายในประเทศ โครงสร้างพื้นฐานของพลเรือนเกือบหนึ่งแสนแห่งได้รับความเสียหายหรือถูกทำลาย รวมถึงโรงเรียนและสถานรับเลี้ยงเด็กอนุบาลนับพันแห่ง

อย่างไรก็ตาม ความพินาศที่ใหญ่หลวงที่สุดมิอาจวัดด้วยตัวเลข หากแต่มันสะท้อนอยู่ในแววตาอันหวาดหวั่นของเด็ก ๆ เมื่อเสียงไซเรนก้องขึ้น ในห้องเรียนที่กลายเป็นซากปรักหักพัง และในวัยเยาว์ที่ถูกพรากไปด้วยความรุนแรงและการพลัดถิ่น ทุกค่ำคืน พ่อแม่ชาวยูเครนต้องพาบุตรหลับใหลด้วยหัวใจห่อเหี่ยว ไม่อาจรู้ได้ว่าพรุ่งนี้พวกเขาจะตื่นขึ้นมาพบเช้าที่สงบสุขหรือซากปรักหักพังจากขีปนาวุธอีกครั้ง

เมือง Vovchanskในภูมิภาคคาร์คิฟ เมืองยูเครนซึ่งถูกทำลายจนกลายเป็นซากปรักหักพังจากการรุกรานทางทหารของรัสเซีย | ภาพถ่าย: Kostiantyn และ Vlada Liberov

การบังคับเนรเทศเด็กยูเครน

การบังคับส่งตัวเด็กโดยมิชอบด้วยกฎหมายคือหนึ่งในอาชญากรรมที่มืดมนที่สุดของสงครามครั้งนี้ เด็กชายและเด็กหญิงยูเครนนับพันคนถูกพรากจากดินแดนที่ถูกยึดครอง ถูกพรากจากครอบครัวที่รัก และถูกส่งไปยังครัวเรือนหรือสถาบันในรัสเซีย สัญชาติของพวกเขาถูกลบเลือน ชื่อถูกเปลี่ยนแปลง และพวกเขาต้องเผชิญกับการอบรมทางความคิดที่มุ่งลบล้างอัตลักษณ์ยูเครน

เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม ค.ศ. 2025 กลุ่มพันธมิตรระหว่างประเทศเพื่อการนำเด็กยูเครนกลับบ้าน (International Coalition for the Return of Ukrainian Children)—ซึ่งเป็นความร่วมมือของ 41 ประเทศ ภายใต้การเป็นประธานร่วมของยูเครนและแคนาดา ได้เรียกร้องต่อรัสเซียให้นำเด็กทุกคนที่ถูกเนรเทศกลับคืนโดยทันทีและโดยไม่มีเงื่อนไข ยูเครนเคยส่งรายชื่อเบื้องต้นของเด็กจำนวน 339 คนไปยังรัสเซียในช่วงต้นปีที่ผ่านมา แต่จำนวนจริงย่อมสูงกว่านี้มาก เด็กแต่ละคนสะท้อนถึงชีวิตที่ถูกขโมย และวัยเยาว์ที่ถูกพราก

ที่มา Bring Kids Back

ในคำพิพากษาของคณะใหญ่ของผู้พิพากษา (Grand Chamber) ศาลสิทธิมนุษยชนยุโรป (European Court of Human Rights) กรณียูเครนและเนเธอร์แลนด์ต่อรัสเซีย ได้ยืนยันความรับผิดชอบของรัสเซียต่ออาชญากรรมเหล่านี้ และเรียกร้องให้มีมาตรการระหว่างประเทศอย่างเร่งด่วนเพื่อระบุตัวตนเด็กที่ถูกเนรเทศและนำพวกเขากลับคืนสู่ครอบครัว แม้รัสเซียจะปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าว ยูเครนและพันธมิตรจะไม่หยุดยั้ง จนกว่าเด็กทุกคนจะได้กลับบ้าน

เรื่องเล่าจากชีวิตจริง

เรื่องราวของอิลเลีย จากมาริอูโปล | ที่มา: Bring Kids Back

อิลเลีย เด็กชายวัย 11 ปี เป็นเด็กที่ต้องเผชิญความเจ็บปวดมากมายในชีวิตที่พึ่งลืมตาดูโลกมาเพียงไม่กี่ปี

เมื่อบ้านเกิดของเขา เมืองมาริอูโปล ถูกทิ้งระเบิดอย่างไร้ความปรานีโดยกองกำลังรัสเซีย มารดาของเขาเสียชีวิตจากซากปรักหักพัง ขณะที่อิลเลียเองได้รับบาดแผลจากเศษระเบิดหลายแห่ง

ผู้ยึดครองพาเขาไปยังโรงพยาบาลใน Donetsk ซึ่งเขาต้องทนทุกข์ทั้งทางร่างกายและจิตใจ การผ่าตัดเอาเศษระเบิดออกจากขาของเขาถูกทำโดย ไม่ใช้ยาสลบ ผู้ใหญ่บางคนยังหัวเราะเยาะ กล่าวว่าต่อไปเด็กชายไม่ควรพูดว่า “เกียรติยศแด่ยูเครน” แต่ต้องพูดว่า “เกียรติยศแด่ยูเครนในฐานะส่วนหนึ่งของรัสเซีย” และบังคับให้เขาเขียนเป็นภาษารัสเซีย แม้จะอายุน้อย อิลเลียก็อดทนต่อการทารุณเหล่านี้อย่างกล้าหาญ ด้วยความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างทีมงานจากหน่วยงานรัฐและองค์กรเอกชน รวมถึงคุณย่าของเขา โอลีนา อิลเลียจึงสามารถกลับคืนจากการเนรเทศได้สำเร็จ

การดำเนินการระหว่างประเทศและความเข้มแข็งของชาวยูเครน

ประชาคมระหว่างประเทศเริ่มดำเนินมาตรการแล้ว สภายุโรป สหภาพยุโรป และประเทศประชาธิปไตยหลายสิบประเทศต่างร่วมกันเรียกร้องให้รัสเซียแสดงความรับผิดชอบต่อการกระทำผิดของตน พร้อมสนับสนุนโครงการที่ปฏิบัติได้จริง ตัวอย่างเช่น เอสโตเนียได้ช่วยก่อตั้งศูนย์สิทธิมนุษยชนในเมือง Zhytomyr เพื่อเฝ้าติดตามและอำนวยความสะดวกในการนำเด็ก ๆ กลับคืนมา ความพยายามในลักษณะเดียวกันกำลังเกิดขึ้นเพิ่มขึ้นทั่วทั้งยุโรปและในที่ต่างๆ

ขณะเดียวกัน ชาวยูเครนยังคงพิสูจน์ให้โลกเห็นว่า ชีวิตเข้มแข็งกว่าสงคราม แม้ต้องเผชิญคืนที่ไร้การหลับใหลท่ามกลางการทิ้งระเบิด การสร้างครอบครัวยังคงก่อตัวและเบ่งบานขึ้นท่ามกลางความยากลำบาก ระหว่างเดือนมกราคมถึงมิถุนายน ค.ศ. 2025 มีการจดทะเบียนสมรสเกือบ 69,000 คู่ทั่วประเทศ แม้ในยามมืดมิดที่สุด ความรักและความหวังก็ยังคงอยู่ เป็นหลักฐานอันทรงพลังว่าชาวยูเครนไม่อาจถูกทำลาย

การชุมนุมสนับสนุนการนำเด็กที่ถูกพาออกจากยูเครนกลับคืนบ้านอย่างปลอดภัย ณ กรุงบรัสเซลส์ เดือนกุมภาพันธ์ | เครดิต: Thierry Monasse/Getty Images

บทสรุป

สงครามของรัสเซียมิได้หมายถึงเพียงดินแดนเท่านั้น หากแต่เป็นการโจมตีอนาคตของยูเครนอย่างแท้จริง การกำหนดเป้าหมายไปที่เด็ก ๆ คือความพยายามของมอสโกในการลบล้างอัตลักษณ์ของชาติ แต่ยูเครนยังคงยืนหยัดเคียงข้างประชาคมโลกด้วยประกาศชัดเจนว่า สิ่งนี้จะไม่มีวันประสบความสำเร็จ

เด็กทุกคนต้องได้กลับบ้าน ครอบครัวทุกครอบครัวต้องได้อยู่ร่วมกันอีกครั้ง อาชญากรรมทุกกรณีต้องได้รับการลงโทษ ยูเครนต่อสู้ไม่เพียงเพื่อการอยู่รอด แต่เพื่อต่อสู้เพื่อค่านิยมสากลแห่งเสรีภาพ ความยุติธรรม และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

ตราบใดที่เด็กชาวยูเครนยังคงรอวันกลับบ้าน ชุมชนระหว่างประเทศต้องไม่มองข้าม เราขอยืนยันด้วยเจตนารมณ์ชัดเจนและหนักแน่นว่า ยูเครนจะไม่มีวันยอมแพ้ และเราจะพาเด็ก ๆ กลับบ้านให้ได้

Leave a Comment